5 อาหารที่ผู้มีความดันโลหิตสูงไม่ควรบริโภค
- Admin
- 11 พ.ย.
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 6 วันที่ผ่านมา

ปัจจุบันความดันโลหิตจัดเป็นโรคที่เกิดจากการใช้ชีวิตประจำวัน ที่น่าวิตกกังวลอย่างยิ่ง มีการประมาณการว่าผู้ใหญ่กว่า 46% ไม่ทราบว่าตัวเองมีความดันโลหิตสูง อาการนี้ทำให้เกิดอาการและโรคแทรกซ้อนต่างๆ ขึ้นมากมาย เช่น อาการเหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก เวียนหัว ปวดหัว และนำไปสู่โรคหัวใจ (cardiovascular disease) สูญเสียการมองเห็น และโรคไตวายเรื้อรัง
ปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการความดันโลหิตสูงได้แก่ กรรมพันธุ์ และการใช้ชีวิตประจำวัน เราไม่สามารถควบคุมกรรมพันธุ์ได้ แต่เราควบคุมชีวิตประจำวันได้ ในคู่มือแนวทางการปฏิบัติสำหรับการป้องกันและการรักษาความดันโลหิตสูงของสมาคมหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Society) ของปี 2025 ได้แนะนำอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงไว้ดังนี้

แอลกอฮอล์ทำให้ความดันโลหิตสูง
จากการทบทวนและประเมินงานวิจัยเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ใหม่ทั้งหมดตั้งปี 2018 ทางการแพทย์ได้ข้อสรุปแล้วว่า ไม่มีปริมาณแอลกอฮอล์ที่ปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค การบริโภคแอลกอฮอล์ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้น สมาคมหัวใจฯ จึงให้คำแนะนำไว้ว่า “งดดื่มแอลกอฮอล์”
หากไม่สามารถงดดื่มได้เนื่องจากต้องเข้าสังคม คู่มือเล่มนี้ให้คำแนะนำไว้ว่า ผู้หญิงไม่ควรดื่มเกิน 1 ดื่มมาตรฐานต่อวัน ผู้ชายไม่ควรดื่มเกิน 2 ดื่มมาตรฐานต่อวัน คำแนะนำนี้ เป็นไปตามความสามารถในการขับแอลกอฮอล์ของร่างกายผู้ชายผู้หญิงที่แตกต่างกันแต่กำเนิด น้ำหนักตัวไม่มีผลให้ดื่มแอลกอฮอล์ได้มากขึ้นหรือน้อยลง
1 ดื่มมาตรฐาน หมายถึงแอลกอฮอล์ 10 กรัม ซึ่งร่างกายสามารถขับออกได้ภายใน 1 ชั่วโมง
ตัวอย่างของ 1 ดื่มมาตรฐาน เช่น
เบียร์ (ABV 5%) กระป๋องเล็ก 1 กระป๋อง (330 มล.)
วิสกี้ เหล้าขาว (ABV 40%) ประมาณ 3 ฝา (30 มล.)
ไวน์แดง (ABV 11%-13%) 1 แก้ว (100 มล.)

คาเฟอีนไม่อันตรายขนาดนั้น
สำหรับผู้ที่สุขภาพแข็งแรงดี การบริโภคคาเฟอีนไม่เป็นปัญหาสุขภาพใดๆ แต่สำหรับผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูง การบริโภคคาเฟอีนปริมาณมากส่งผลต่อการเกิดโรคหัวใจชนิดต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด
คำแนะนำในปัจจุบัน ผู้มีความดันโลหิตสูงไม่ควรบริโภคคาเฟอีนเกิน 300 มิลลิกรัม/วัน เทียบได้กับกาแฟดำแก้วใหญ่ 1 แก้ว มัตฉะที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ตอนนี้มีคาเฟอีนประมาณ 40-70 มิลลิกรัมต่อผงมัตฉะ 1 กรัม เพราะฉะนั้นไม่ควรบริโภคมัตฉะเกิน 1 แก้ว โดยชงผงมัตฉะประมาณ 4-5 กรัม อาหารอีกอย่างที่ควรระวังปริมาณคาเฟอีนโดยไม่รู้ตัวคือเครื่องดื่มชูกำลังและน้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง 1 ขวดเล็กอาจมีคาเฟอีนเฉลี่ย 80 มิลลิกรัม ส่วนน้ำอัดลม 1 กระป๋องเล็กมีคาเฟอีนประมาณ 40 มิลลิกรัม
อาหารอย่างอื่นที่มีคาเฟอีน เช่น ช็อกโกแลต โกโก้ ชา เหล่านี้ผู้มีความดันโลหิตสูงก็ต้องรับประทานอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะการทานร่วมกับอาหารมีคาเฟอีนชนิดอื่นๆ

อาหารเสริมจากสมุนไพร
ปัจจุบันนี้การทางสารสกัดและอาหารเสริมจากสมุนไพรแพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีความเชื่อว่าสมุนไพรมีสรรพคุณมาก และปลอดภัยเนื่องจากไม่ใช่สารเคมี ความเชื่อนี้ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว แม้ว่าสมุนไพรหลายๆ ชนิดมีสรรพคุณในด้านต่างๆ แต่มักแฝงผลข้างเคียงทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
เช่น Saint John's Wort เป็นสมุนไพรมีสรรพคุณช่วยคลายกังวล ช่วยนอนหลับ รักษาอาการซึมเศร้า ปัจจุบันเป็นที่นิยมมาก มีคนผลิตเป็นอาหารเสริมหลายรายทั้งในอเมริกาและญี่ปุ่น ปัจจุบันมีการนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยบ้างแล้ว Saint John’s Wort มีผลข้างเคียงทำให้ความดันโลหิตสูงชัดเจน
นอกจากผลค้างเคียงไม่พึงประสงค์แล้ว อาหารเสริมบางตัวยังใส่สมุนไพรหลายตัวผสมกันอีกด้วย ทำให้ผู้บริโภคมีตัวแปรให้พิจารณาหลายอย่าง ตัดสินใจลำบาก สมาคมหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาจึงออกคำแนะนำ "งดอาหารเสริมสมุนไพร" ทุกชนิด

งดชะเอมเทศ
ชะเอมเทศเป็นเครื่องเทศยอดนิยมอย่างหนึ่ง กลิ่นหอมหวาน ใส่ในอาหารและขนมหลายอย่าง นิยมมากทางยุโรปเหนือ อาหารไทยและจีนเองใช้ชะเอมเทศเป็นเครื่องเทศอย่างหนึ่งเช่นกัน
งานวิจัยระบุว่า การทานชะเอมเทศอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในปริมาณไม่มาก ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นทั้งค่าบนและค่าล่าง รวมถึงทำให้โพแทสเซียมในพลาสมา ซึ่งช่วยลดความดันโลหิต ต่ำลงด้วย ดังนั้นคำแนะนำสำหรับผู้มีความดันโลหิตสูงคือ "งดทานชะเอมเทศ”
ผู้มีความดันโลหิตสูงควรสอบถามส่วนประกอบอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงชะเอมเทศ โดยเฉพาะอาหารประเภทตุ๋นยาจีน

กัญชา
แม้ว่าใช้ปัจจุบัน ประเทศไทยอนุญาตให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ได้แล้ว แต่งานวิจัยหลายชิ้นก็ระบุตรงกันว่า หลังการใช้กัญชา ความดันโลหิตสูงขึ้นทันที คำแนะนำของสมาคมในปัจจุบันจึงเป็น “งดใช้กัญชาเด็ดขาด”
งานวิจัยของกัญชาที่เกี่ยวกับสุขภาพยังมีไม่มาก ดังนั้นผลกระทบของการใช้กัญชาต่อสุขภาพระยะยาวจึงยังไม่แน่ชัด ปัจจุบันมีรายงานว่ากัญชาเพิ่มความเสี่ยงของสโตรค โรคหัวใจ และโรคในเส้นเลือดต่างๆ
บทสรุป
การปฏิบัติตนของผู้มีความดันโลหิตสูงนั้น ต้องใส่ใจอาหารที่เลือกรับประทานอย่างมาก ทางที่ดีที่สุด ควรป้องกันไม่ให้ตนเองมีความดันโลหิตสูงตั้งแต่ต้น การใช้ชีวิตตามปกติอาจทำให้เรามีความดันโลหิตสูงโดยไม่รู้ตัว การป้องกันที่ดีที่สุดคือการวัดความดันโลหิตของตนเองอย่างสม่ำเสมอ วัดด้วยเครื่องวัดความดันโลหิตที่ได้มาตรฐาน ISO 13485 และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้การรับรองจากอย.ไทยเท่านั้น ปัจจุบัน นอกจากเครื่องวัดความดันโลหิตจะสามารถวัดความดันโลหิตได้แล้ว หลายรุ่นยังสามารถตรวจจับอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia) ชนิดต่างๆ ได้อีกด้วย




