ไกด์ไลน์ความดันโลหิตใหม่ของปี 2025
- Admin
- 1 วันที่ผ่านมา
- ยาว 1 นาที
ความดันโลหิตเป็นเรื่องใกล้ตัวทุกคน ยิ่งอายุมาก คนเรายิ่งจำเป็นต้องใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น ความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรัง ทางการแพทย์แนะนำให้ทุกคนดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรค ดีกว่ามารักษาในภายหลัง ผลกระทบที่ตามมาจากโรคมีหลายประการ เช่น สโตรก โรคหัวใจต่างๆ (cardiovascular disease หรือ CVD) ไตวายเรื้อรัง นอกจากนั้นอาจทำให้ตามัวหรือตาบอดได้อีกด้วย ความก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้สมาคมหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association) ออกคู่มือการป้องกันและรักษาความดันโลหิตสูงประจำปี 2025 สมาคมฯ สรุปงานวิจัยเล่มใหม่ออกมาเป็นแนวทางการปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ พัฒนาขึ้นมาจากคู่มือฉบับปี 2017

สำหรับบุคคลทั่วไป คู่มือเล่มใหม่มีคำแนะนำใหม่ที่น่าสนใจดังนี้
แค่ไหนถึงเรียกความดันโลหิตสูง
ค่าความดันโลหิตแบ่งเป็นค่าบน (Systolic) กับค่าล่าง (Diastolic) ทั้งสองค่ามีผลต่อการจำแนกระดับความดันโลหิต สำหรับคู่มือฯ ของปี 2025 นี้ ทางสมาคมยังคงนิยามเดิมตามตารางต่อไปนี้

แม้ว่าการจำแนกระดับความดันโลหิตยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่นายแพทย์ Daniel W. Jones ประธานจัดทำคู่มือฯ ปี 2025 ให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า “จากหลักฐานทั้งหมดที่มี การรักษาความดันโลหิตค่าบนให้ต่ำกว่า 120 ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ สโตรก และโรคไตได้จริง”
ในปัจจุบัน คนทั่วไปจะรักษาระดับความดันค่าบนให้ต่ำกว่า 130 ยังคงเป็นเรื่องยาก ทางสมาคมฯ จึงยังคงมาตรฐานเฝ้าระวังเมื่อตัวเลขเข้าใกล้ 130 เนื่องจากพิจารณาแล้วว่าเป็นคำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับการชีวิตประจำวัน ความดันโลหิตเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง หากวัดได้ผลลัพธ์สูงติดต่อกัน ควรเข้าพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา
ให้ยารักษาเร็วขึ้น
การศึกษายาลดความดันโลหิต (antihypertensive) ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่ามีผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ของยามีน้อย สมาคมหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาจึงปรับคำแนะนำ ให้ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงระดับ 1 ให้เริ่มต้นการรักษาด้วยยาได้ คำแนะนำนี้ปรับลดจากคำแนะนำเดิมที่ให้ผู้ป่วยเริ่มรับการรักษาด้วยยาเมื่อเข้าเกณฑ์ความดันโลหิตสูงระดับ 2
คำแนะนำตามคู่มือปัจจุบัน แนะนำให้ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงระดับ 1 มาเกิน 10 ปี ลองปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตนเองเป็นเวลา 3-6 เดือน หากความดันโลหิตยังไม่ลดลงพอที่จะเข้าเกณฑ์ “เริ่มสูง” จึงเริ่มต้นการรักษาด้วยยา

การใช้ยาลดความดันโลหิต ต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ทุกครั้ง แพทย์ประจำตัวต้องพิจารณาค่าความดันโลหิตที่เหมาะสมกับตัวผู้ป่วย โดยพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น เพศ อายุ และเชื้อชาติ ประกอบการตัดสินใจ
ลดเค็มลดโซเดียม
คู่มือฯ ของปี 2025 แนะนำให้ลดการบริโภคโซเดียมน้อยลง เพื่อลดความเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง แหล่งโซเดียมที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตประจำวันมาจากอาหารและเกลือ ทั้งเกลือแกง เกลือทำอาหารอาหารทั่วไป สมาคมหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาแนะนำให้บริโภคสารให้ความเค็มทดแทนเกลือ แทนการใช้เกลือแกงทั่วไป ในคู่มือแนะนำเกลือโพแทสเซียม (Potassium-based salt) แทน เนื่องจากโพแทสเซียมสามารถช่วยลดความดันโลหิตได้ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการลดการบริโภคโซเดียม

สำหรับประชาชนไทย ส่วนใหญ่รับโซเดียมสูงเกินกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ปริมาณโซเดียมที่ควรบริโภคต่อวันไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัม แต่คนไทยบริโภคโซเดียมโดยเฉลี่ยเกินกว่า 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน โซเดียมส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวันมาจากการบริโภคเครื่องปรุงรสต่างๆ เช่น น้ำปลามีโซเดียมเฉลี่ย 1,350 มิลลิกรัมต่อช้อนโต๊ะ ซอสถั่วเหลืองมีโซเดียมเฉลี่ย 1,178 มิลลิกรัมต่อช้อนโต๊ะ ผู้ป่วยโรคไตไม่ควรบริโภคเกลือโพแทสเซียม
การเลือกเครื่องปรุงสูตรลดโซเดียม จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคนไทย นอกจากเกลือโพแทสเซียมแล้ว ปัจจุบันผู้บริโภคไทยมีทางเลือกมากขึ้น เช่นเกลือผสมวัตถุให้รสชาติอื่นๆ สารสกัดจากยีสต์ เกลือสาหร่าย หรือสมุนไพรเครื่องเทศชนิดไม่ผสมเกลือ
ไม่มีปริมาณแอลกอฮอล์ที่ปลอดภัย
คำแนะนำปัจจุบัน ไม่มีปริมาณแอลกอฮอล์ที่ไม่ทำให้ความดันโลหิตสูงอีกต่อไป การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ไม่ว่าจะน้อยเพียงใดก็ตาม ทำให้ความดันโลหิตทั้งค่าบนและค่าล่างสูงขึ้นอย่างแน่นอน

ถึงแม้ผลการวิจัยจะไม่สนับสนุนให้ประชาชนดื่มแอลกอฮอล์เลย แต่แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ดื่มแอลกอฮอล์ยังเป็นเหมือนในคู่มือปี 2017 นั่นคือ ผู้หญิงดื่มได้ 1 ดื่มมาตรฐาน และผู้ชายดื่มได้ 2 ดื่มมาตรฐาน ปริมาณดังกล่าวไม่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงในทันที
สำหรับความหมายของ “ดื่มมาตรฐาน” นั้น หมายถึงปริมาณแอลกฮอล์ 10 กรัมซึ่งต้องใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการขับออกจากร่างกาย เทียบได้กับเบียร์ 1 กระป๋องเล็ก วิสกี้หรือเหล้า 3 ฝา หรือไวน์ 1 แก้ว
บทสรุป
แนวทางการปฏิบัติสำหรับลดความเสี่ยงความดันโลหิตสูงของปี 2025 นั้น ยังคงคำแนะนำเดิมสำหรับประชาชน เพียงแต่ปรับปรุงเพื่อสะท้อนความเข้าใจที่งานวิจัยมีต่อร่างกายมนุษย์หลังปี 2017 เป็นต้นมา นอกจากคำแนะนำให้ลดโซเดียม เลิกแอลกอฮอล์ สมาคมหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกายังแนะนำให้ผู้มีน้ำหนักตัวสูงลดน้ำหนักอย่างน้อย 5% หากผู้อ่านต้องการปรับการรักษา การใช้ยาใดๆ ตามแนวทางปฏิบัติใหม่ ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนทุกครั้ง
ประเทศไทยมีแนวทางการรปฏิบัติของสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย ซึ่งพึ่งปรับปรุงล่าสุดเมื่อปี 2024 ข้อมูลบางอย่างอาจไม่ตรงกับแนวทางปฏิบัติของสมาคมหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม การป้องกันความดันโลหิตสูงเริ่มต้นจากการวัดความดันโลหิตเสมอ สำหรับประชาชนทั่วไป เริ่มต้นด้วยการมีเครื่องวัดความดันไว้ในบ้าน






