หัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia) กับกาแฟ
- Admin
- 28 พ.ย.
- ยาว 2 นาที
บางครั้งเวลาไปหาหมอ เรามักจะได้ยินการวินิจฉัยว่ามีความเสี่ยงโรคหัวใจบางอย่าง อาจเป็นหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia) จำเป็นต้องส่งตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECH หรือ EKG) หลายคนก็จะตามไปตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบงงๆ ไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง คนรอบตัวอาจจะเริ่มแนะนำให้หยุดกินกาแฟเพื่อป้องกันโรค

ความจริงแล้วโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia) เป็นกลุ่มอาการความผิดปกติในหัวใจที่สำคัญมาก เพราะอาการหลายๆ อย่างอาจจะนำไปสู่โรคร้ายอื่นๆ ถึงแก่ชีวิต ก่อนจะเข้าสู่ผลเสียของอาการดังกล่าว ต้องอธิบายก่อนว่าโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะแบ่งได้หลักๆ 3 ประเภท
1. Tachycardia (TACH) คือกลุ่มอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ เกิน 100 ครั้ง/นาที
2. Bradycardia (BRAD) คือกลุ่มอาการหัวใจเต้นช้าผิดปกติ ต่ำกว่า 60 ครั้ง/นาที
3. Premature Contraction (PC) ภาวะหัวใจบีบตัวก่อนกำหนด ยังแบ่งเป็นอาการเกิดในหัวใจห้องบน (Premature Atrial Contraction) กับหัวใจห้องล่าง (Premature Ventricular Contraction) อีกด้วย
ซึ่งแต่ละประเภทยังมีกลุ่มอาการแยกย่อยอีกมาก แต่ละชนิดก็เป็นตัวบ่งชี้โรคอื่นๆ และมีอันตรายแตกต่างกันออกไป ที่ได้ยินกันบ่อยๆ เช่น หัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation หรือ AF/AFib) ซึ่งเป็นอาการบ่งชี้สโตรก และอาจทำให้ผู้ป่วยเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตในที่สุด ปัจจุบัน เครื่องวัดความดันโลหิตแบบใช้ในบ้าน หลายรุ่นหลายยี่ห้อ สามารถตรวจจับ AFib ได้แล้ว
อาการของหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia)

ผู้ป่วยหัวใจเต้นผิดจังหวะ มักมีอาการดังนี้
- รู้สึกหัวใจเต้นแปลกๆ ใจสั่น ใจเต้นแรงผิดปกติ
- เหงื่อออกมาก
- เหนื่อยง่าย
- หน้ามืดบ่อย
- แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก
- หมดสติ
อาการเหล่านี้หลายอย่างเป็นอาการของโรคอื่นๆ เช่นโรคเครียด ความดันโลหิตสูงเช่นกัน ดังนั้นเมื่อพบอาการร้ายแรงได้แก่ เจ็บหน้าอก หายใจไม่ออก และหมดสติ ผู้ป่วยควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการตรวจร่างกายทันที
บางครั้ง หัวใจเต้นผิดจังหวะอาจจะไม่มีอาการแสดงออกภายนอกใดๆ เลย ผู้ป่วยรู้ตัวครั้งแรกขณะตรวจสุขภาพ หรือกำลังวัดความดันด้วยเครื่องวัดความดันที่มีฟังก์ชันตรวจจับอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ
สาเหตุและผลกระทบ
สาเหตุของภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะมีหลายสาเหตุ และอาจเกิดจากหลายๆ สาเหตุประกอบกันได้ เช่น
- โรคหัวใจต่างๆ และสโตรก
- ความดันโลหิตสูง
- โรคในต่อมไทรอยด์
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea)
- แอลกอฮอล์ นิโคติน และสารเสพติด
- ยาและอาหารเสริมบางชนิด

ภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ยังทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมาอีกด้วย ภัยร้ายที่ตามมาได้แก่ เลือดคั่งและสโตรก หัวใจล้มเหลว หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน รวมไปถึงอาการอัมพฤกษ์อัมพาตที่ตามมาจากอาการสโตรก
คำถามหนึ่งที่ทางการแพทย์ถามมาเป็นเวลานาน คือกาแฟมีผลต่อหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ กาแฟมีสารคาเฟอีน (Caffeine) อยู่มาก ในแง่หนึ่ง คำถามนี้ก็สมเหตุสมผล การบริโภคกาแฟแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น คนดื่มรู้สึกได้ทันที อย่างไรก็ตาม ความดันที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยไม่สามารถยืนยันได้ว่า กาแฟทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือโรคหัวใจอื่นๆ
ความเชื่อเรื่องกาแฟกับหัวใจเต้นผิดจังหวะ

เคยมีความเชื่อว่า กาแฟทำให้เกิดโรคหัวใจ ไม่ดีต่อหัวใจ และทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ อย่างไรก็ตาม จากคำแนะนำปี 2025 ของสมาคมหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association) ให้ข้อมูลว่าการบริโภคกาแฟวันละ 1-2 แก้ว ไม่มีผลเสียต่อหัวใจในคนธรรมดา (เทียบจากคาเฟอีน 180 มิลลิกรัม/วัน)
ปัญหาจึงเหลือเพียงว่า ในกลุ่มคนที่มีปัญหาหัวใจ โดยเฉพาะหัวใจเต้นผิดจังหวะ กาแฟมีผลดีหรือผลเสียอะไรหรือไม่ ที่ผ่านมามีงานวิจัยในกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก หรือกลุ่มตัวอย่างที่ประกอบอาชีพเสี่ยงต่อโรคหัวใจอยู่แล้ว ที่ผ่านมา คำแนะนำจึงเป็นการขอให้ผู้ป่วยหัวใจเต้นผิดจังหวะงดหรือลดกาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มคาเฟอีนทุกชนิด
กาแฟช่วย AF ต่างหาก

ในความเป็นจริง ทางการแพทย์เริ่มมีหลักฐานว่ากาแฟกลับมีประโยชน์ต่อหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิด ปี 2025 มีงานวิจัยใหม่ออกมา และเป็นการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมจำนวน 200 คน ผู้เข้าร่วมทั้งหมดเป็นผู้ป่วยเคยมีประวัติเกิดภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation – AF) ติดตามผลเป็นเวลาเกือบ 5 ปี ได้ผลสรุปแน่ชัดว่า การบริโภคกาแฟเล็กน้อยทุกวันกลับช่วยบรรเทาอาการ AFib ไม่ใช่ทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะแบบที่เคยเชื่อกันมา
การทดลองแบ่งผู้เข้าร่วมการทดลองเป็นสองกลุ่ม โดยให้กลุ่มแรกงดกาแฟเด็ดขาด ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งดื่มกาแฟ 1 แก้วต่อวัน ผลลัพธ์ที่ปรากฏคือกลุ่มที่ดื่มกาแฟ 1 แก้วต่อวัน มีความเสี่ยงเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะแบบ AF น้อยลงถึง 39% และไม่ปรากฏว่ามีผลข้างเคียงร้ายแรงอื่นใดเกิดขึ้นกับหัวใจของผู้เข้าร่วมทดลอง
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า บางกรณี ผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะบริโภคกาแฟดีกว่าไม่บริโภคกาแฟ ซึ่งคำแนะนำทางการแพทย์และแนวทางการปฏิบัติอาจจะต้องปรับเปลี่ยนในอนาคต
ยังสรุปไม่ได้ว่ากาแฟปลอดภัย
แม้ว่ากาแฟและคาเฟอีนน่าจะมีประโยชน์ต่อหัวใจเต้นผิดจังหวะบางประเภท เช่น หัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (AF) แต่อาจจะไม่ได้มีประโยชน์หรือปลอดภัยสำหรับภาวะหัวใจภาวะอื่นๆ

ในปัจจุบัน มีความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนระหว่างการบริโภคกาแฟ หรือคาเฟอีนกับหัวใจเต้นผิดจังหวะแบบหัวใจเต้นเร็วเกินไป (Tachycardia) ทั้งในหัวใจห้องบนและห้องล่าง อย่างไรก็ตาม กรณีตัวเองที่พบในปัจจุบันมักเป็นการรับคาเฟอีนมากเกินคนปกติ ในปี 2019 พบหญิงสาวอายุ 27 เกิดอาการหัวใจวายจากห้องหัวใจห้องล่างสั่นพลิ้ว (Ventricular Fibrillation – VF) เธอทานคาเฟอีนเม็ดเข้าไปเป็นปริมาณมาก จนร่างกายได้รับคาเฟอีนทั้งหมด 6,000 มิลลิกรัม หรือเทียบเท่ากาแฟ 60 แก้ว อีกกรณีหนึ่ง หญิงอายุ 29 ปีทานคาเฟอีนเม็ดเข้าไป 200 เม็ด เป็นคาเฟอีน 40,000 มิลลิกรัม หรือเทียบเท่ากาแฟ 400 แก้ว เกิดอาการหัวใจวายพร้อมหัวใจเต้นผิดปกติแบบ Sinus Tachycardia สลับกับ VF และ AF
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่ทางการแพทย์ต้องเผชิญคือการระบุปริมาณขั้นต่ำที่คาเฟอีนจะทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ กรณีศึกษา พบว่าชายชาวญี่ปุ่นอายุเพียง 33 ปีอ่อนไหวต่อคาเฟอีนเป็นพิเศษ ดื่มกาแฟเพียง 1 แก้วและน้ำอัดลมเพียงเล็กน้อยก็ทำให้อาการห้องหัวใจบนเต้นเร็ว (Atrial Tachycardia) เพิ่มจาก 44.2 นาที/วันเป็น 215.2 นาที/วัน เมื่องดกาแฟทำให้อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สรุป
ทางการแพทย์พบว่า กาแฟกับโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะมีความเกี่ยวข้องกันอย่างเห็นได้ชัด คาเฟอีนน่าจะช่วยบรรเทาอาการ AFib ได้ การดื่มกาแฟดำไม่เกินวันละ 1 แก้วน่าจะไม่ทำให้เกิดผลเสีย แต่คาเฟอีนก็ทำให้เกิด Tachycardia อย่างชัดเจน สิ่งที่ยังสรุปไม่ได้ และต้องการการวิจัยเพิ่มเติมต่อไปคือปริมาณคาเฟอีนที่ทำให้เกิดอันตราย ขอให้ผู้ป่วยรอแนวทางปฏิบัติจากหน่วยงานทางการแพทย์ และไม่ปรับอาหาร ยา หรือการรักษาใดๆ ก่อนปรึกษาแพทย์ประจำตัว
และทุกคนควรวัดความดันตนเองอย่างสม่ำเสมอ ด้วยเครื่องวัดความดันที่น่าเชื่อ ยิ่งปัจจุบันเครื่องวัดความดันมีฟังก์ชันวัดหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยแล้ว การป้องกันโรคที่ดีที่สุดคือการป้องกัน ยิ่งรู้ตัวเร็ว ยิ่งไปรับการวินิจฉัยและการรักษาได้เร็ว


